(ภาพจาก รายงานฉบับพิเศษ ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19)
ก่อนสูญเสียเด็กทั้งรุ่นต้อง "หยุดสีแดง" ให้ได้
พื้นที่ “สีแดง” สียิ่งเข้มยิ่งแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ที่มีปัญหาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
แผนที่ School Readiness ภายใต้โครงการ TSRS เป็นการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 - 2565 สะท้อนแนวโน้มภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของเด็กที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 หากมีมาตรการช่วยเหลือช้าเกินไปในการหยุดยั้งผลเลวร้ายที่ตามมาอาจนำไปสู่การสูญเสียเด็กทั้งรุ่นหรือที่เรียกว่า Lost Generation ในประเทศไทย
(ภาพจาก รายงานฉบับพิเศษ ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19)
ผลวิจัย TSRS ของ กสศ. และ RIPED ชี้
เด็กอนุบาลยุคโควิดขาดความพร้อมเข้าเรียนประถมต้นในปัจจุบัน
กสศ. ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand School Readiness Survey: TSRS) เพื่อประเมินว่าเด็กปฐมวัยมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เป็นทางการในระดับประถมศึกษาหรือไม่
โดยวัดทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัยด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ รวมถึง Executive Functions (EFs) เช่น ความจำใช้งาน (working memory) พร้อมทั้งสำรวจข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือนและสถานศึกษาซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อระดับความพร้อมของเด็กปฐมวัย ระดับอนุบาล 3 จำนวน 73 จังหวัด ระหว่างปีการศึกษา 2563 - 2565
ผลวิจัย TSRS สะท้อนว่า การปิดสถานศึกษาในช่วงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดปัญหาภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss) กับเด็กปฐมวัยอย่างชัดเจน โดยพิจารณาจากผลเปรียบเทียบระดับความพร้อมฯ เฉลี่ยด้านวิชาการของเด็กปฐมวัย ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างที่สำรวจในปี 2565 ซึ่งเป็นปีหลังการปิดเรียนเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 อย่างยาวนานมีระดับความพร้อมฯ ต่ำกว่ากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจในปี 2563 (ไม่มีผลกระทบจากโควิด) และกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจในปี 2564 (ได้รับผลกระทบจากโควิดเล็กน้อย)
เด็กประถมต้นวันนี้มีพัฒนาการ
"ถดถอย" เท่าเด็กอนุบาล!
ทักษะทั้ง 3 ด้าน ที่ขาดหายไปจะส่งผลทำให้เด็กอนุบาล ยุคโควิด-19
ที่ก้าวขึ้นมาเรียนในชั้นประถมศึกษาตอนต้นในวันนี้
ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
(ภาพจาก https://www.the101.worl/weerachart-interview/)
รศ. ดร.วีระชาติ กิเลนทอง สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบจากการเรียนรู้ถดถอยทุกระดับชั้นการศึกษา แต่นักเรียนชั้นประถมต้นเป็นกลุ่มที่มีปัญหาภาวะการเรียนรู้ถดถอยสูง โดยมีพัฒนาการเท่าเด็กชั้นอนุบาล
ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงการระบาดของโควิด-19 เด็ก ๆ เรียนด้วยข้อจำกัด การเรียนออนไลน์ไม่เหมาะกับเด็กปฐมวัย ขณะที่ช่วงประถมศึกษาตอนต้น คือ พื้นฐานสำคัญของการเรียน การอ่าน การคิดเลข ถ้าเริ่มต้นไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่องตั้งแต่เล็ก โอกาสที่จะล้มเหลวในอนาคตสูง ที่สำคัญในช่วงการระบาดของโควิด-19 แน่นอนว่าเด็กจากครอบครัวมีฐานะร่ำรวยอาจสูญเสียการเรียนรู้มากกว่า แต่น่าจะฟื้นคืนได้เร็วกว่าเมื่อโลกกลับมาเปิดอีกครั้ง ในขณะที่พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กจากครอบครัวยากจนจะฟื้นฟูอย่างช้า ๆ หรือไม่ฟื้นคืนกลับมาเลย
ผลวิจัย TSRS ยังสะท้อนข้อมูลดังต่อไปนี้
1. การปิดสถานศึกษาทั้งโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน เด็กเรียนรู้ที่บ้านลดลงอย่างชัดเจน แต่ใช้เวลากับหน้าจอเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่พบปัญหาภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss) ที่รุนแรง เพราะนอกจากจะไม่สามารถเรียนรู้จากโรงเรียนเนื่องจากการปิดสถานศึกษาในช่วงการระบาดของโควิด-19 ยังเรียนรู้ด้วยตนเองลดลงด้วย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเด็กไทยจำนวนมากยังต้องการสื่อและอุปกรณ์จากโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ด้วยตนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะเด็กไทยจำนวนไม่น้อยอาศัยอยู่กับผู้สูงอายุ ซึ่งอาจจะไม่สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้การปิดเรียนในช่วงที่ผ่านมามีผลกระทบอย่างมาก
2. ความสัมพันธ์ระหว่างความยากจนหรือความขัดสนของครอบครัวและความพร้อมของเด็กปฐมวัย สะท้อนให้เห็นความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนควรจะต้องหาทางออกร่วมกันเพื่อช่วยให้เด็กปฐมวัยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง อาจจะต้องพิจารณาการสนับสนุนหรืออุดหนุนเด็กปฐมวัยอย่างเร่งด่วน
3. ความพร้อมของเด็กปฐมวัย มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จด้านการเรียนของเด็กในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ เด็กปฐมวัยที่มีภาวะการเรียนรู้ถดถอยมีโอกาสสูงที่จะประสบปัญหาการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษา
4. บทเรียนที่ได้จากการดำเนิน โครงการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยหลักสูตรไฮสโคป (HighScope) ตามแนวทางไรซ์ไทยแลนด์ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาและส่งเสริมครูปฐมวัยด้วยการอบรมเชิงปฏิบัติการในสถานที่จริง (On-SiteTraining) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ สามารถช่วยให้เด็กปฐมวัยมีระดับความพร้อมฯ ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายความว่า การยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนระดับปฐมวัย โดยใช้วิธีการที่ส่งเสริมให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็ก สามารถช่วยพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะเด็กที่ขาดโอกาสหรือเด็กยากจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อค้นพบเหล่านี้สำคัญมาก เพราะความพร้อมฯ ของเด็กปฐมวัยมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จด้านการเรียนของเด็กในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากการนำข้อมูลสถานะความพร้อมฯ ของเด็กปฐมวัยที่สำรวจในปี 2563 (ปีการศึกษา 2562) ไปเชื่อมโยงกับผลการทดสอบการอ่าน (Reading Test หรือ RT) ของ สพฐ. ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2564 (ปีการศึกษา 2563)
ผลการวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า เด็กปฐมวัยที่มีความพร้อมฯ ด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษาเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีแนวโน้มที่จะมีผลการทดสอบการอ่านด้านการอ่านออกเสียงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.46 และร้อยละ 0.40 ของคะแนนเต็ม และจะมีผลการทดสอบการอ่านด้านการอ่านรู้เรื่องเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.28 และร้อยละ 0.23 ของคะแนนเต็ม บทเรียน คือ ความพร้อมฯ ของเด็กปฐมวัยมีผลต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป
นอกจากนี้งานวิจัยในต่างประเทศซึ่งศึกษาภาวะการเรียนรู้ถดถอยในระดับประถมและมัธยมพบว่า ภาวะการเรียนรู้ถดถอยมีแนวโน้มที่จะเป็นปัญหามากกว่าในกลุ่มเด็กที่มีอายน้อยกว่า จึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่า ภาวะการเรียนรู้ถดถอยของเด็กปฐมวัยนั้นสูงมาก (หายไปกว่าร้อยละ 90) และกลุ่มที่น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกันก็คือ กลุ่มเด็กประถมต้น
***********
ที่มาของข้อมูล : รายงานฉบับพิเศษ ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19 (หน้า 7-12)
Link เพื่อแชร์ >> https://bit.ly/3OdxVD6
Facebook >> https://bit.ly/3V2sTvl
แผนกปฐมวัย
ฝ่ายการศึกษา อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ